โรงเรียนกลาโหมอุทิศ ตั้งอยู่ เลขที่ 7 หมู่ 8 ถนนพิบูลสงคราม ตำบลสวนใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานนทบุรี เขต 1 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ โรงเรียนกลาโหมอุทิศ แต่เดิมคือ โรงเรียนวัดเขมาภิรตาราม เมื่อแรกเริ่มเปิดทำการสอนนั้นเกิดจากการที่มีประชาชนนำบุตรหลานมาฝากเป็นศิษย์วัด กิน นอนประจำที่วัด เพื่อศึกษาเล่าเรียนกับพระผู้เป็นอาจารย์ โดยมีเจ้าอาวาส เป็นผู้ดูแลคล้ายกับครูใหญ่ พระลูกวัดเป็นครูน้อย สถานที่เรียนอาศัยกุฏิพระ ศาลาการเปรียญหน้าโบสถ์ และหน้าวิหารของวัดเขมาภิรตารามเป็นที่ศึกษาเล่าเรียน วิชาที่สอนสมัยนั้นคือ ภาษาไทย ภาษาขอม การอ่าน การเขียน การคัดลายมือ วิชาศีลธรรม วิชาพระพุทธศาสนา ประวัติศาสตร์พงศาวดารไทย และความรู้ประสบการณ์จากพระผู้สอน ในปี พ.ศ. 2243 ท่านเจ้าคุณพระวินัยรักขิต (คง ปัญญาทีโป) ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดเขมาภิรตาราม เห็นความสำคัญของการศึกษา มีความประสงค์ที่จะส่งเสริมการศึกษาให้กับเด็กให้เจริญยิ่งขึ้น ประกอบกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ขยายการศึกษาออกไปตามหัวเมือง ตั้งโรงเรียนหลวงหรือโรงเรียนรัฐบาลตามหัวเมืองหลายแห่ง มีกรมศึกษาธิการในสมัยนั้นเป็นผู้ดำเนินการตามพระราชประสงค์ ท่านเจ้าคุณพระวินัยรักขิตเห็นว่ามีผู้นิยมที่จะส่งเด็กเข้ามาศึกษาเล่าเรียนในโรงเรียนวัดเขมาภิรตารามมากขึ้นเรื่อยๆ สมควรที่จะดำเนินการขอจัดตั้งโรงเรียนหลวงขึ้น จึงได้ติดต่อกรมศึกษาธิการให้ตั้งโรงเรียนหลวงขึ้นที่วัดเขมาภิรตาราม
ในปี พ.ศ.2449 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ ให้รื้อพระที่นั่งมูลมณเฑียร ซึ่งอยู่ในพระบรมมหาราชวังมาปลูกที่วัดเขมาภิรตาราม และทรงพระราชทานให้เป็นโรงเรียน จึงนับได้ว่าเป็นอาคารหลังแรกของโรงเรียนวัดเขมาภิรตารามและในปี พ.ศ.2450 กรมศึกษาธิการจึงขออนุญาตให้จัดตั้งโรงเรียนขึ้นที่วัดเขมาภิรตารามให้ชื่อว่า“โรงเรียนวัดเขมาภิรตาราม”
ได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นโรงเรียนรัฐบาลโดยมีท่านเจ้าคุณพระวินัยรักขิต เป็นผู้อุปการะโรงเรียน
ต่อมาในปี พ.ศ. 2478 – 2479 กระทรวงกลาโหมรับพระราชทานผ้าพระกฐินมาทอด ณ วัดเขมาภิรตาราม โดยมี ฯพณฯ จอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้เห็นโรงเรียนวัดเขมาภิรตารามคับแคบมาก สถานที่ศึกษาเล่าเรียนบางส่วนยังคงใช้กุฏิพระ ศาลาต่างๆ และใต้ถุนอาคารเป็นสถานที่เรียนเมื่อกลับจากการถวายผ้าพระกฐินพระราชทานดังกล่าวแล้ว จึงได้บอกบุญบรรดาข้าราชการกระทรวงกลาโหมเชิญชวนบริจาคทรัพย์สร้างอาคารเรียนให้โรงเรียนวัดเขมาภิรตาราม ซึ่งมีข้าราชการกระทรวงกลาโหมร่วมบริจาคเงิน 6,000 บาท กระทรวงศึกษาธิการสมทบให้อืก 3,840 บาท จัดสร้างอาคารเรียนหนึ่งหลังเป็นอาคารไม้ 2 ชั้น 12 ห้องเรียน เสร็จและเปิดใช้ในปี พ.ศ. 2482 เรียกอาคารหลังนี้ว่า “อาคารกลาโหมอุทิศ” พร้อมกับได้เปลี่ยนชื่อโรงเรียนใหม่เป็น “โรงเรียนกลาโหมอุทิศ” เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ข้าราชการของกระทรวงกลาโหม ที่ได้ริเริ่มและร่วมกันบริจาคทรัพย์ ดังนั้น โรงเรียนวัดเขมาภิรตารามจึงมีชื่อเป็น “โรงเรียนกลาโหมอุทิศ” อยู่ช่วงระยะหนึ่ง
เมื่อปี พ.ศ. 2492 – 2495 ฯพณฯ จอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีโอกาสได้มาเยี่ยมโรงเรียนกลาโหมอุทิศ เห็นว่าอาคารหลังใหม่ที่ได้เชิญชวนข้าราชการกระทรวงกลาโหมบริจาคทรัพย์สร้างไว้ยังคับแคบ จึงบัญชาให้กระทรวงศึกษาธิการหาที่จัดสร้างและขยายโรงเรียนออกไปทางทิศเหนือ โดยติดต่อขอชื่อที่ดินส่วนหนึ่งของชาวบ้านและทำการก่อสร้างอาคารเรียน 2 ชั้น แบบ 242 จำนวน 1 หลัง 22 ห้องเรียน ( ปัจจุบัน คือ อาคาร 1 โรงเรียนวัด
เขมาภิรตาราม) และเปิดใช้เป็นอาคารเรียน เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2499 โดย ฯพณฯ จอมพลป. พิบูลสงคราม มาเป็นประธานในพิธีเปิด และเปลี่ยนชื่อโรงเรียนตามเดิมคือ“โรงเรียนเขมาภิรตาราม”
ส่วนอาคารเรียนกลาโหมอุทิศ เปลี่ยนชื่อเป็น “เรือนกลาโหมอุทิศ” ใช้เป็นอาคารเรียนของโรงเรียนวัดเขมาภิรตาราม และพระที่นั่งมูลมณเฑียรได้เปิดใช้เป็นห้องสมุดประชาชน วัดเขมาภิรตาราม
ในปี พ.ศ. 2498 กรมสามัญศึกษาได้ขออาคาร “เรือนกลาโหมอุทิศ” เป็นที่ทำการสอน ระดับประถมศึกษาและให้ชื่อว่า “โรงเรียนกลาโหมอุทิศ” จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2503 โรงเรียนกลาโหมอุทิศได้เปลี่ยนเป็นโรงเรียนประถมศึกษา ตามแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2503 เปิดสอนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 – 7 และเปิดเรียนในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ในปีการศึกษา 2520 ได้เพียงปีเดียวในปี พ.ศ. 2521 โรงเรียนกลาโหมอุทิศ ได้เปิดรับนักเรียนเข้าเรียนในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 – 6 ตามหลักสูตรประถมศึกษา พุทธศักราช 2521 และได้ยุบระดับมัธยมศึกษา โดยนำนักเรียนไปฝากเรียนที่โรงเรียนมัธยมต่างๆ ในจังหวัดนนทบุรี ในปี พ.ศ. 2523 โรงเรียนกลาโหมอุทิศได้โอนมาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ ตามพระราชบัญญัติประถมศึกษา พ.ศ. 2523 วันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2546 โรงเรียนกลาโหมอุทิศ ได้โอนมาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน มาจนบัดนี้
โรงเรียนกลาโหมอุทิศ ตั้งอยู่เลขที่ 7 หมู่ 8 ต.สวนใหญ่ อ.เมืองนนทบุรี จ.นนทบุรี รหัสไปรษณีย์ 11000 หมายเลขโทรศัพท์ 0-2525-1509 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานนทบุรี เขต 1 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เปิดสอนระดับชั้นอนุบาลถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 17 ห้องเรียนโรงเรียนกลาโหมอุทิศ ตั้งอยู่ เลขที่ 7 หมู่ 8 ถนนพิบูลสงคราม ตำบลสวนใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานนทบุรี เขต 1 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ โรงเรียนกลาโหมอุทิศ แต่เดิมคือ โรงเรียนวัดเขมาภิรตาราม เมื่อแรกเริ่มเปิดทำการสอนนั้นเกิดจากการที่มีประชาชนนำบุตรหลานมาฝากเป็นศิษย์วัด กิน นอนประจำที่วัด เพื่อศึกษาเล่าเรียนกับพระผู้เป็นอาจารย์ โดยมีเจ้าอาวาส เป็นผู้ดูแลคล้ายกับครูใหญ่ พระลูกวัดเป็นครูน้อย สถานที่เรียนอาศัยกุฏิพระ ศาลาการเปรียญหน้าโบสถ์ และหน้าวิหารของวัดเขมาภิรตารามเป็นที่ศึกษาเล่าเรียน วิชาที่สอนสมัยนั้นคือ ภาษาไทย ภาษาขอม การอ่าน การเขียน การคัดลายมือ วิชาศีลธรรม วิชาพระพุทธศาสนา ประวัติศาสตร์พงศาวดารไทย และความรู้ประสบการณ์จากพระผู้สอน ในปี พ.ศ. 2243 ท่านเจ้าคุณพระวินัยรักขิต (คง ปัญญาทีโป) ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดเขมาภิรตาราม เห็นความสำคัญของการศึกษา มีความประสงค์ที่จะส่งเสริมการศึกษาให้กับเด็กให้เจริญยิ่งขึ้น ประกอบกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ขยายการศึกษาออกไปตามหัวเมือง ตั้งโรงเรียนหลวงหรือโรงเรียนรัฐบาลตามหัวเมืองหลายแห่ง มีกรมศึกษาธิการในสมัยนั้นเป็นผู้ดำเนินการตามพระราชประสงค์ ท่านเจ้าคุณพระวินัยรักขิตเห็นว่ามีผู้นิยมที่จะส่งเด็กเข้ามาศึกษาเล่าเรียนในโรงเรียนวัดเขมาภิรตารามมากขึ้นเรื่อยๆ สมควรที่จะดำเนินการขอจัดตั้งโรงเรียนหลวงขึ้น จึงได้ติดต่อกรมศึกษาธิการให้ตั้งโรงเรียนหลวงขึ้นที่วัดเขมาภิรตาราม
ในปี พ.ศ.2449 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ ให้รื้อพระที่นั่งมูลมณเฑียร ซึ่งอยู่ในพระบรมมหาราชวังมาปลูกที่วัดเขมาภิรตาราม และทรงพระราชทานให้เป็นโรงเรียน จึงนับได้ว่าเป็นอาคารหลังแรกของโรงเรียนวัดเขมาภิรตารามและในปี พ.ศ.2450 กรมศึกษาธิการจึงขออนุญาตให้จัดตั้งโรงเรียนขึ้นที่วัดเขมาภิรตารามให้ชื่อว่า“โรงเรียนวัดเขมาภิรตาราม”
ได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นโรงเรียนรัฐบาลโดยมีท่านเจ้าคุณพระวินัยรักขิต เป็นผู้อุปการะโรงเรียน
ต่อมาในปี พ.ศ. 2478 – 2479 กระทรวงกลาโหมรับพระราชทานผ้าพระกฐินมาทอด ณ วัดเขมาภิรตาราม โดยมี ฯพณฯ จอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้เห็นโรงเรียนวัดเขมาภิรตารามคับแคบมาก สถานที่ศึกษาเล่าเรียนบางส่วนยังคงใช้กุฏิพระ ศาลาต่างๆ และใต้ถุนอาคารเป็นสถานที่เรียนเมื่อกลับจากการถวายผ้าพระกฐินพระราชทานดังกล่าวแล้ว จึงได้บอกบุญบรรดาข้าราชการกระทรวงกลาโหมเชิญชวนบริจาคทรัพย์สร้างอาคารเรียนให้โรงเรียนวัดเขมาภิรตาราม ซึ่งมีข้าราชการกระทรวงกลาโหมร่วมบริจาคเงิน 6,000 บาท กระทรวงศึกษาธิการสมทบให้อืก 3,840 บาท จัดสร้างอาคารเรียนหนึ่งหลังเป็นอาคารไม้ 2 ชั้น 12 ห้องเรียน เสร็จและเปิดใช้ในปี พ.ศ. 2482 เรียกอาคารหลังนี้ว่า “อาคารกลาโหมอุทิศ” พร้อมกับได้เปลี่ยนชื่อโรงเรียนใหม่เป็น “โรงเรียนกลาโหมอุทิศ” เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ข้าราชการของกระทรวงกลาโหม ที่ได้ริเริ่มและร่วมกันบริจาคทรัพย์ ดังนั้น โรงเรียนวัดเขมาภิรตารามจึงมีชื่อเป็น “โรงเรียนกลาโหมอุทิศ” อยู่ช่วงระยะหนึ่ง
เมื่อปี พ.ศ. 2492 – 2495 ฯพณฯ จอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีโอกาสได้มาเยี่ยมโรงเรียนกลาโหมอุทิศ เห็นว่าอาคารหลังใหม่ที่ได้เชิญชวนข้าราชการกระทรวงกลาโหมบริจาคทรัพย์สร้างไว้ยังคับแคบ จึงบัญชาให้กระทรวงศึกษาธิการหาที่จัดสร้างและขยายโรงเรียนออกไปทางทิศเหนือ โดยติดต่อขอชื่อที่ดินส่วนหนึ่งของชาวบ้านและทำการก่อสร้างอาคารเรียน 2 ชั้น แบบ 242 จำนวน 1 หลัง 22 ห้องเรียน ( ปัจจุบัน คือ อาคาร 1 โรงเรียนวัด
เขมาภิรตาราม) และเปิดใช้เป็นอาคารเรียน เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2499 โดย ฯพณฯ จอมพลป. พิบูลสงคราม มาเป็นประธานในพิธีเปิด และเปลี่ยนชื่อโรงเรียนตามเดิมคือ“โรงเรียนเขมาภิรตาราม”
ส่วนอาคารเรียนกลาโหมอุทิศ เปลี่ยนชื่อเป็น “เรือนกลาโหมอุทิศ” ใช้เป็นอาคารเรียนของโรงเรียนวัดเขมาภิรตาราม และพระที่นั่งมูลมณเฑียรได้เปิดใช้เป็นห้องสมุดประชาชน วัดเขมาภิรตาราม
ในปี พ.ศ. 2498 กรมสามัญศึกษาได้ขออาคาร “เรือนกลาโหมอุทิศ” เป็นที่ทำการสอน ระดับประถมศึกษาและให้ชื่อว่า “โรงเรียนกลาโหมอุทิศ” จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2503 โรงเรียนกลาโหมอุทิศได้เปลี่ยนเป็นโรงเรียนประถมศึกษา ตามแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2503 เปิดสอนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 – 7 และเปิดเรียนในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ในปีการศึกษา 2520 ได้เพียงปีเดียวในปี พ.ศ. 2521 โรงเรียนกลาโหมอุทิศ ได้เปิดรับนักเรียนเข้าเรียนในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 – 6 ตามหลักสูตรประถมศึกษา พุทธศักราช 2521 และได้ยุบระดับมัธยมศึกษา โดยนำนักเรียนไปฝากเรียนที่โรงเรียนมัธยมต่างๆ ในจังหวัดนนทบุรี ในปี พ.ศ. 2523 โรงเรียนกลาโหมอุทิศได้โอนมาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ ตามพระราชบัญญัติประถมศึกษา พ.ศ. 2523 วันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2546 โรงเรียนกลาโหมอุทิศ ได้โอนมาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน มาจนบัดนี้
โรงเรียนกลาโหมอุทิศ ตั้งอยู่เลขที่ 7 หมู่ 8 ต.สวนใหญ่ อ.เมืองนนทบุรี จ.นนทบุรี รหัสไปรษณีย์ 11000 หมายเลขโทรศัพท์ 0-2525-1509 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานนทบุรี เขต 1 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เปิดสอนระดับชั้นอนุบาลถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 17 ห้องเรียนโรงเรียนกลาโหมอุทิศ ตั้งอยู่ เลขที่ 7 หมู่ 8 ถนนพิบูลสงคราม ตำบลสวนใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานนทบุรี เขต 1 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ โรงเรียนกลาโหมอุทิศ แต่เดิมคือ โรงเรียนวัดเขมาภิรตาราม เมื่อแรกเริ่มเปิดทำการสอนนั้นเกิดจากการที่มีประชาชนนำบุตรหลานมาฝากเป็นศิษย์วัด กิน นอนประจำที่วัด เพื่อศึกษาเล่าเรียนกับพระผู้เป็นอาจารย์ โดยมีเจ้าอาวาส เป็นผู้ดูแลคล้ายกับครูใหญ่ พระลูกวัดเป็นครูน้อย สถานที่เรียนอาศัยกุฏิพระ ศาลาการเปรียญหน้าโบสถ์ และหน้าวิหารของวัดเขมาภิรตารามเป็นที่ศึกษาเล่าเรียน วิชาที่สอนสมัยนั้นคือ ภาษาไทย ภาษาขอม การอ่าน การเขียน การคัดลายมือ วิชาศีลธรรม วิชาพระพุทธศาสนา ประวัติศาสตร์พงศาวดารไทย และความรู้ประสบการณ์จากพระผู้สอน ในปี พ.ศ. 2243 ท่านเจ้าคุณพระวินัยรักขิต (คง ปัญญาทีโป) ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดเขมาภิรตาราม เห็นความสำคัญของการศึกษา มีความประสงค์ที่จะส่งเสริมการศึกษาให้กับเด็กให้เจริญยิ่งขึ้น ประกอบกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ขยายการศึกษาออกไปตามหัวเมือง ตั้งโรงเรียนหลวงหรือโรงเรียนรัฐบาลตามหัวเมืองหลายแห่ง มีกรมศึกษาธิการในสมัยนั้นเป็นผู้ดำเนินการตามพระราชประสงค์ ท่านเจ้าคุณพระวินัยรักขิตเห็นว่ามีผู้นิยมที่จะส่งเด็กเข้ามาศึกษาเล่าเรียนในโรงเรียนวัดเขมาภิรตารามมากขึ้นเรื่อยๆ สมควรที่จะดำเนินการขอจัดตั้งโรงเรียนหลวงขึ้น จึงได้ติดต่อกรมศึกษาธิการให้ตั้งโรงเรียนหลวงขึ้นที่วัดเขมาภิรตาราม
ในปี พ.ศ.2449 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ ให้รื้อพระที่นั่งมูลมณเฑียร ซึ่งอยู่ในพระบรมมหาราชวังมาปลูกที่วัดเขมาภิรตาราม และทรงพระราชทานให้เป็นโรงเรียน จึงนับได้ว่าเป็นอาคารหลังแรกของโรงเรียนวัดเขมาภิรตารามและในปี พ.ศ.2450 กรมศึกษาธิการจึงขออนุญาตให้จัดตั้งโรงเรียนขึ้นที่วัดเขมาภิรตารามให้ชื่อว่า“โรงเรียนวัดเขมาภิรตาราม”
ได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นโรงเรียนรัฐบาลโดยมีท่านเจ้าคุณพระวินัยรักขิต เป็นผู้อุปการะโรงเรียน
ต่อมาในปี พ.ศ. 2478 – 2479 กระทรวงกลาโหมรับพระราชทานผ้าพระกฐินมาทอด ณ วัดเขมาภิรตาราม โดยมี ฯพณฯ จอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้เห็นโรงเรียนวัดเขมาภิรตารามคับแคบมาก สถานที่ศึกษาเล่าเรียนบางส่วนยังคงใช้กุฏิพระ ศาลาต่างๆ และใต้ถุนอาคารเป็นสถานที่เรียนเมื่อกลับจากการถวายผ้าพระกฐินพระราชทานดังกล่าวแล้ว จึงได้บอกบุญบรรดาข้าราชการกระทรวงกลาโหมเชิญชวนบริจาคทรัพย์สร้างอาคารเรียนให้โรงเรียนวัดเขมาภิรตาราม ซึ่งมีข้าราชการกระทรวงกลาโหมร่วมบริจาคเงิน 6,000 บาท กระทรวงศึกษาธิการสมทบให้อืก 3,840 บาท จัดสร้างอาคารเรียนหนึ่งหลังเป็นอาคารไม้ 2 ชั้น 12 ห้องเรียน เสร็จและเปิดใช้ในปี พ.ศ. 2482 เรียกอาคารหลังนี้ว่า “อาคารกลาโหมอุทิศ” พร้อมกับได้เปลี่ยนชื่อโรงเรียนใหม่เป็น “โรงเรียนกลาโหมอุทิศ” เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ข้าราชการของกระทรวงกลาโหม ที่ได้ริเริ่มและร่วมกันบริจาคทรัพย์ ดังนั้น โรงเรียนวัดเขมาภิรตารามจึงมีชื่อเป็น “โรงเรียนกลาโหมอุทิศ” อยู่ช่วงระยะหนึ่ง
เมื่อปี พ.ศ. 2492 – 2495 ฯพณฯ จอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีโอกาสได้มาเยี่ยมโรงเรียนกลาโหมอุทิศ เห็นว่าอาคารหลังใหม่ที่ได้เชิญชวนข้าราชการกระทรวงกลาโหมบริจาคทรัพย์สร้างไว้ยังคับแคบ จึงบัญชาให้กระทรวงศึกษาธิการหาที่จัดสร้างและขยายโรงเรียนออกไปทางทิศเหนือ โดยติดต่อขอชื่อที่ดินส่วนหนึ่งของชาวบ้านและทำการก่อสร้างอาคารเรียน 2 ชั้น แบบ 242 จำนวน 1 หลัง 22 ห้องเรียน ( ปัจจุบัน คือ อาคาร 1 โรงเรียนวัด
เขมาภิรตาราม) และเปิดใช้เป็นอาคารเรียน เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2499 โดย ฯพณฯ จอมพลป. พิบูลสงคราม มาเป็นประธานในพิธีเปิด และเปลี่ยนชื่อโรงเรียนตามเดิมคือ“โรงเรียนเขมาภิรตาราม”
ส่วนอาคารเรียนกลาโหมอุทิศ เปลี่ยนชื่อเป็น “เรือนกลาโหมอุทิศ” ใช้เป็นอาคารเรียนของโรงเรียนวัดเขมาภิรตาราม และพระที่นั่งมูลมณเฑียรได้เปิดใช้เป็นห้องสมุดประชาชน วัดเขมาภิรตาราม
ในปี พ.ศ. 2498 กรมสามัญศึกษาได้ขออาคาร “เรือนกลาโหมอุทิศ” เป็นที่ทำการสอน ระดับประถมศึกษาและให้ชื่อว่า “โรงเรียนกลาโหมอุทิศ” จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2503 โรงเรียนกลาโหมอุทิศได้เปลี่ยนเป็นโรงเรียนประถมศึกษา ตามแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2503 เปิดสอนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 – 7 และเปิดเรียนในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ในปีการศึกษา 2520 ได้เพียงปีเดียวในปี พ.ศ. 2521 โรงเรียนกลาโหมอุทิศ ได้เปิดรับนักเรียนเข้าเรียนในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 – 6 ตามหลักสูตรประถมศึกษา พุทธศักราช 2521 และได้ยุบระดับมัธยมศึกษา โดยนำนักเรียนไปฝากเรียนที่โรงเรียนมัธยมต่างๆ ในจังหวัดนนทบุรี ในปี พ.ศ. 2523 โรงเรียนกลาโหมอุทิศได้โอนมาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ ตามพระราชบัญญัติประถมศึกษา พ.ศ. 2523 วันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2546 โรงเรียนกลาโหมอุทิศ ได้โอนมาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน มาจนบัดนี้
โรงเรียนกลาโหมอุทิศ ตั้งอยู่เลขที่ 7 หมู่ 8 ต.สวนใหญ่ อ.เมืองนนทบุรี จ.นนทบุรี รหัสไปรษณีย์ 11000 หมายเลขโทรศัพท์ 0-2525-1509 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานนทบุรี เขต 1 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เปิดสอนระดับชั้นอนุบาลถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 17 ห้องเรียนโรงเรียนกลาโหมอุทิศ ตั้งอยู่ เลขที่ 7 หมู่ 8 ถนนพิบูลสงคราม ตำบลสวนใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานนทบุรี เขต 1 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ โรงเรียนกลาโหมอุทิศ แต่เดิมคือ โรงเรียนวัดเขมาภิรตาราม เมื่อแรกเริ่มเปิดทำการสอนนั้นเกิดจากการที่มีประชาชนนำบุตรหลานมาฝากเป็นศิษย์วัด กิน นอนประจำที่วัด เพื่อศึกษาเล่าเรียนกับพระผู้เป็นอาจารย์ โดยมีเจ้าอาวาส เป็นผู้ดูแลคล้ายกับครูใหญ่ พระลูกวัดเป็นครูน้อย สถานที่เรียนอาศัยกุฏิพระ ศาลาการเปรียญหน้าโบสถ์ และหน้าวิหารของวัดเขมาภิรตารามเป็นที่ศึกษาเล่าเรียน วิชาที่สอนสมัยนั้นคือ ภาษาไทย ภาษาขอม การอ่าน การเขียน การคัดลายมือ วิชาศีลธรรม วิชาพระพุทธศาสนา ประวัติศาสตร์พงศาวดารไทย และความรู้ประสบการณ์จากพระผู้สอน ในปี พ.ศ. 2243 ท่านเจ้าคุณพระวินัยรักขิต (คง ปัญญาทีโป) ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดเขมาภิรตาราม เห็นความสำคัญของการศึกษา มีความประสงค์ที่จะส่งเสริมการศึกษาให้กับเด็กให้เจริญยิ่งขึ้น ประกอบกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ขยายการศึกษาออกไปตามหัวเมือง ตั้งโรงเรียนหลวงหรือโรงเรียนรัฐบาลตามหัวเมืองหลายแห่ง มีกรมศึกษาธิการในสมัยนั้นเป็นผู้ดำเนินการตามพระราชประสงค์ ท่านเจ้าคุณพระวินัยรักขิตเห็นว่ามีผู้นิยมที่จะส่งเด็กเข้ามาศึกษาเล่าเรียนในโรงเรียนวัดเขมาภิรตารามมากขึ้นเรื่อยๆ สมควรที่จะดำเนินการขอจัดตั้งโรงเรียนหลวงขึ้น จึงได้ติดต่อกรมศึกษาธิการให้ตั้งโรงเรียนหลวงขึ้นที่วัดเขมาภิรตาราม
ในปี พ.ศ.2449 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ ให้รื้อพระที่นั่งมูลมณเฑียร ซึ่งอยู่ในพระบรมมหาราชวังมาปลูกที่วัดเขมาภิรตาราม และทรงพระราชทานให้เป็นโรงเรียน จึงนับได้ว่าเป็นอาคารหลังแรกของโรงเรียนวัดเขมาภิรตารามและในปี พ.ศ.2450 กรมศึกษาธิการจึงขออนุญาตให้จัดตั้งโรงเรียนขึ้นที่วัดเขมาภิรตารามให้ชื่อว่า“โรงเรียนวัดเขมาภิรตาราม”
ได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นโรงเรียนรัฐบาลโดยมีท่านเจ้าคุณพระวินัยรักขิต เป็นผู้อุปการะโรงเรียน
ต่อมาในปี พ.ศ. 2478 – 2479 กระทรวงกลาโหมรับพระราชทานผ้าพระกฐินมาทอด ณ วัดเขมาภิรตาราม โดยมี ฯพณฯ จอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้เห็นโรงเรียนวัดเขมาภิรตารามคับแคบมาก สถานที่ศึกษาเล่าเรียนบางส่วนยังคงใช้กุฏิพระ ศาลาต่างๆ และใต้ถุนอาคารเป็นสถานที่เรียนเมื่อกลับจากการถวายผ้าพระกฐินพระราชทานดังกล่าวแล้ว จึงได้บอกบุญบรรดาข้าราชการกระทรวงกลาโหมเชิญชวนบริจาคทรัพย์สร้างอาคารเรียนให้โรงเรียนวัดเขมาภิรตาราม ซึ่งมีข้าราชการกระทรวงกลาโหมร่วมบริจาคเงิน 6,000 บาท กระทรวงศึกษาธิการสมทบให้อืก 3,840 บาท จัดสร้างอาคารเรียนหนึ่งหลังเป็นอาคารไม้ 2 ชั้น 12 ห้องเรียน เสร็จและเปิดใช้ในปี พ.ศ. 2482 เรียกอาคารหลังนี้ว่า “อาคารกลาโหมอุทิศ” พร้อมกับได้เปลี่ยนชื่อโรงเรียนใหม่เป็น “โรงเรียนกลาโหมอุทิศ” เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ข้าราชการของกระทรวงกลาโหม ที่ได้ริเริ่มและร่วมกันบริจาคทรัพย์ ดังนั้น โรงเรียนวัดเขมาภิรตารามจึงมีชื่อเป็น “โรงเรียนกลาโหมอุทิศ” อยู่ช่วงระยะหนึ่ง
เมื่อปี พ.ศ. 2492 – 2495 ฯพณฯ จอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีโอกาสได้มาเยี่ยมโรงเรียนกลาโหมอุทิศ เห็นว่าอาคารหลังใหม่ที่ได้เชิญชวนข้าราชการกระทรวงกลาโหมบริจาคทรัพย์สร้างไว้ยังคับแคบ จึงบัญชาให้กระทรวงศึกษาธิการหาที่จัดสร้างและขยายโรงเรียนออกไปทางทิศเหนือ โดยติดต่อขอชื่อที่ดินส่วนหนึ่งของชาวบ้านและทำการก่อสร้างอาคารเรียน 2 ชั้น แบบ 242 จำนวน 1 หลัง 22 ห้องเรียน ( ปัจจุบัน คือ อาคาร 1 โรงเรียนวัด
เขมาภิรตาราม) และเปิดใช้เป็นอาคารเรียน เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2499 โดย ฯพณฯ จอมพลป. พิบูลสงคราม มาเป็นประธานในพิธีเปิด และเปลี่ยนชื่อโรงเรียนตามเดิมคือ“โรงเรียนเขมาภิรตาราม”
ส่วนอาคารเรียนกลาโหมอุทิศ เปลี่ยนชื่อเป็น “เรือนกลาโหมอุทิศ” ใช้เป็นอาคารเรียนของโรงเรียนวัดเขมาภิรตาราม และพระที่นั่งมูลมณเฑียรได้เปิดใช้เป็นห้องสมุดประชาชน วัดเขมาภิรตาราม
ในปี พ.ศ. 2498 กรมสามัญศึกษาได้ขออาคาร “เรือนกลาโหมอุทิศ” เป็นที่ทำการสอน ระดับประถมศึกษาและให้ชื่อว่า “โรงเรียนกลาโหมอุทิศ” จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2503 โรงเรียนกลาโหมอุทิศได้เปลี่ยนเป็นโรงเรียนประถมศึกษา ตามแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2503 เปิดสอนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 – 7 และเปิดเรียนในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ในปีการศึกษา 2520 ได้เพียงปีเดียวในปี พ.ศ. 2521 โรงเรียนกลาโหมอุทิศ ได้เปิดรับนักเรียนเข้าเรียนในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 – 6 ตามหลักสูตรประถมศึกษา พุทธศักราช 2521 และได้ยุบระดับมัธยมศึกษา โดยนำนักเรียนไปฝากเรียนที่โรงเรียนมัธยมต่างๆ ในจังหวัดนนทบุรี ในปี พ.ศ. 2523 โรงเรียนกลาโหมอุทิศได้โอนมาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ ตามพระราชบัญญัติประถมศึกษา พ.ศ. 2523 วันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2546 โรงเรียนกลาโหมอุทิศ ได้โอนมาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน มาจนบัดนี้
โรงเรียนกลาโหมอุทิศ ตั้งอยู่เลขที่ 7 หมู่ 8 ต.สวนใหญ่ อ.เมืองนนทบุรี จ.นนทบุรี รหัสไปรษณีย์ 11000 หมายเลขโทรศัพท์ 0-2525-1509 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานนทบุรี เขต 1 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เปิดสอนระดับชั้นอนุบาลถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 17 ห้องเรียนโรงเรียนกลาโหมอุทิศ ตั้งอยู่ เลขที่ 7 หมู่ 8 ถนนพิบูลสงคราม ตำบลสวนใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานนทบุรี เขต 1 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ โรงเรียนกลาโหมอุทิศ แต่เดิมคือ โรงเรียนวัดเขมาภิรตาราม เมื่อแรกเริ่มเปิดทำการสอนนั้นเกิดจากการที่มีประชาชนนำบุตรหลานมาฝากเป็นศิษย์วัด กิน นอนประจำที่วัด เพื่อศึกษาเล่าเรียนกับพระผู้เป็นอาจารย์ โดยมีเจ้าอาวาส เป็นผู้ดูแลคล้ายกับครูใหญ่ พระลูกวัดเป็นครูน้อย สถานที่เรียนอาศัยกุฏิพระ ศาลาการเปรียญหน้าโบสถ์ และหน้าวิหารของวัดเขมาภิรตารามเป็นที่ศึกษาเล่าเรียน วิชาที่สอนสมัยนั้นคือ ภาษาไทย ภาษาขอม การอ่าน การเขียน การคัดลายมือ วิชาศีลธรรม วิชาพระพุทธศาสนา ประวัติศาสตร์พงศาวดารไทย และความรู้ประสบการณ์จากพระผู้สอน ในปี พ.ศ. 2243 ท่านเจ้าคุณพระวินัยรักขิต (คง ปัญญาทีโป) ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดเขมาภิรตาราม เห็นความสำคัญของการศึกษา มีความประสงค์ที่จะส่งเสริมการศึกษาให้กับเด็กให้เจริญยิ่งขึ้น ประกอบกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ขยายการศึกษาออกไปตามหัวเมือง ตั้งโรงเรียนหลวงหรือโรงเรียนรัฐบาลตามหัวเมืองหลายแห่ง มีกรมศึกษาธิการในสมัยนั้นเป็นผู้ดำเนินการตามพระราชประสงค์ ท่านเจ้าคุณพระวินัยรักขิตเห็นว่ามีผู้นิยมที่จะส่งเด็กเข้ามาศึกษาเล่าเรียนในโรงเรียนวัดเขมาภิรตารามมากขึ้นเรื่อยๆ สมควรที่จะดำเนินการขอจัดตั้งโรงเรียนหลวงขึ้น จึงได้ติดต่อกรมศึกษาธิการให้ตั้งโรงเรียนหลวงขึ้นที่วัดเขมาภิรตาราม
ในปี พ.ศ.2449 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ ให้รื้อพระที่นั่งมูลมณเฑียร ซึ่งอยู่ในพระบรมมหาราชวังมาปลูกที่วัดเขมาภิรตาราม และทรงพระราชทานให้เป็นโรงเรียน จึงนับได้ว่าเป็นอาคารหลังแรกของโรงเรียนวัดเขมาภิรตารามและในปี พ.ศ.2450 กรมศึกษาธิการจึงขออนุญาตให้จัดตั้งโรงเรียนขึ้นที่วัดเขมาภิรตารามให้ชื่อว่า“โรงเรียนวัดเขมาภิรตาราม”
ได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นโรงเรียนรัฐบาลโดยมีท่านเจ้าคุณพระวินัยรักขิต เป็นผู้อุปการะโรงเรียน
|